Real Madrid เรอัล มาดริด
สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด (สเปน: Real Madrid Club de Fútbol) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เรอัลมาดริด หรือ ราชันชุดขาว เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศสเปน ตั้งอยู่ที่กรุงมาดริดเมืองหลวงของประเทศ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1902 เล่นในลาลีกา และเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการฟุตบอลศตวรรษที่ 20 โดยสามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้ทั้งสิ้น 33 สมัย ถ้วยโกปาเดลเรย์ 17 ครั้ง และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 12 สมัยซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของรายการ นอกจากนั้น เรอัลมาดริดยังได้เป็นสมาชิกของกลุ่มจี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลชั้นนำของยุโรปอีกด้วย
ต้นกำเนิดของสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดต้องย้อนกลับไปในช่วงที่กีฬาฟุตบอลได้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในกรุงมาดริด
โดยนักวิชาการและนักศึกษาของโครงการสถาบันการศึกษาเสรี (Institución Libre de Enseñanza) ซึ่งมีผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และออกซ์ฟอร์ดรวมอยู่ด้วย พวกเขารวมตัวกันสร้างสโมสร ฟุตบอลคลับสกาย ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 โดยเล่นกันประจำในวันอาทิตย์ตอนเช้าที่ย่านมองโกลอา และต่อมาได้มีการแยกตัวออกเป็น 2 สโมสรในปี ค.ศ. 1900 ได้แก่ นิว-ฟุตบอลเดมาดริด (New Foot-Ball de Madrid) และ กลุบเอสปัญญอลเดมาดริด (Club Español de Madrid)[9] ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1902 หลังจากที่คณะกรรมการชุดใหม่ (ซึ่งมีฆวน ปาโดรส เป็นประธาน) ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา สโมสรฟุตบอลมาดริดจึงได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ[10] สามปีหลังหลังจากที่ก่อตั้งสโมสรขึ้นได้สามปี ในปี ค.ศ. 1905 สโมสรมาดริดสามารถคว้าแชมป์การแข่งขันได้เป็นครั้งแรกหลังจากเอาชนะแอทเลติกบิลบาโอไปในการแข่งขันสแปนิชคัพรอบชิงชนะเลิศ และในปี ค.ศ. 1920 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น เรอัลมาดริด (Real Madrid) หลังจากที่พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 แห่งสเปน ได้พระราชทานตำแหน่ง “เรอัล” (ในภาษาสเปนแปลว่าของกษัตริย์หรือของหลวง) ให้กับสโมสร หรือที่เราเรียกกัน ราชันชุดขาว
ที่ตั้งสนามของสโมสรในฐานะเจ้าบ้าน
สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว (สเปน: Estadio Santiago Bernabéu) เป็นสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในกรุงมาดริดประเทศสเปน เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด เริ่มเปิดใช้สนามเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1944 เดิมมีชื่อว่า เอสตาดีโอชามาร์ติน (Estadio Chamartín) ตามชื่อของสนามเดิมของสโมสร เปิดใช้สนามอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 1947เรอัลมาดริดได้ประกาศใช้ชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ เอสตาดีโอซานเตียโก เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 4 มกราคม 1955 เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสโมสรคือ ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต (Santiago Bernabéu Yeste)
สนามแห่งนี้สามารถจุผู้ชมได้มากที่สุดถึง 120,000 คนหลังจากที่มีการต่อขยายในปี ค.ศ. 1953 หลังจากนั้นก็มีการลดจำนวนความจุลงเนื่องจากต้องการเปลี่ยนแปลงสนามให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยบริเวณตั๋วยืนนั้นได้ยกเลิกไปในฤดูกาล 1998/99 ตามกฎของยูฟ่าที่ไม่ให้มีการยืนชมเกมในขณะที่มีการแข่งขันในรายการของยูฟ่า การเปลี่ยนแปลงสนามครั้งล่าสุดคือการเพิ่มความจุอีก 5,000 ที่นั่งรวมเป็น 80,400 ที่นั่งในปี ค.ศ. 2003 และกำลังมีแผนที่จะเพิ่มเติมหลังคาลงไปอีกด้วย
เบร์นาเบวเป็นสถานที่ทางฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้รับเลือกให้เป็นสนามสำหรับเกมยูโรเปียนคัพรอบชิงชนะเลิศถึง 3 ครั้งในปี ค.ศ. 1957, ค.ศ. 1969 และ ค.ศ. 1980 ยูโรเปียนแชมเปียนชิพรองชิงชนะเลิศในปี ค.ศ. 1964 และฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศในปี ค.ศ. 1982
ทำเนียบโค้ชและผู้เล่นสำคัญในอตีดจนถึงปัจจุบัน
ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต และประสบความสำเร็จในเวทียุโรป (ค.ศ. 1945-1978) ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานของสโมสรเรอัลมาดริดในปี ค.ศ. 1945 เขาตัดสินใจไปกับกลยุทธ์ด้านการเงินของเขาด้วยการซื้อผู้เล่นในผู้เล่นระดับโลกจากต่างประเทศที่โดดเด่นที่สุดอย่างอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน เข้ามาร่วมทีม ภายใต้การแนะนำของเบร์นาเบวที่เรอัลมาดริดจัดตั้งตัวเองเป็นกำลังสำคัญในวงการฟุตบอลสเปนและยุโรป.สโมสรสมารถชนะเลิศและคว้าแชมป์ได้ 5 สมัยในช่วงปี 1956 ถึง 1960 ในปี ค.ศ. 1996 ประธานสโมสรลอเรนโซ ซานซ์ ได้แต่งตั้งให้ฟาบีโอ กาเปลโล แม้ว่าเขาดำรงตำแหน่งเพียงแค่หนึ่งฤดูกาล, แต่เขาก็สามารถนำเรอัลมาดริดคว้าแชมป์ลีกได้หนึ่งสมัยและได้ซื้อผู้เล่นตัวเก่งมากมาย เช่น โรเบร์ตู การ์ลูส, เพรดรัก มีจาโตวิช, ดาวอร์ ซือเกอร์ และคลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ เข้ามาเล่นร่วมกับผู้เล่นเดิมของสโมสรอย่างราอุล กอนซาเลซ, เฟร์นันโด เอียร์โร, อีวาน ซาโมราโน และเฟร์นันโด เรดอนโด ในที่สุดสิ้นสุดวันที่รอคอยมา 32 ปีสำหรับถ้วยูโรเปียนคัพ สมัยที่ 7 ในปี ค.ศ. 1998 ภายใต้การคุมทีมของยุพพ์ ไฮน์เคส สโมสรสามารถเอาชนะสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสตัวแทนสโมสรจากประเทศอิตาลี ไป 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศด้วยการยิงประตูชัยลูกเดียวของ เพรดรัก มิจาโตวิช
หลังจากปี ค.ศ. 1999 ที่สโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 8 เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2000 สโมสรเรอัลมาดริดได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่คือ โฟลเรนตีโน เปเรซ ใช้เงินที่พวกเขาสามารถมีอยู่จากปีก่อนที่ด้วยการจัดการสรรหาดาวผู้เล่น โดยมีชื่อนักเตะชื่อดังในยุคนั้นอาทิเช่น ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด, เดวิด เบคแคม, ฟาบีโอ กันนาวาโร, ลูอิช ฟีกู, โรเบร์ตู การ์ลูส และ ราอุล กอนซาเลซ อาจจะมีการนักข่าวบางส่วนอภิปรายเมื่อผู้เล่นถูกซื้อโดยเปเรซเล่นล้มเหลวในการสนับสนุนความสำเร็จของสโมสร แต่เปเรซก็ใช้คำสบประมาทของนักข่าวด้วยการนำสโมสรเรอัลมาดริดคว้าแชมป์ยูโรเปียนส์คัพ เป็นสมัยที่ 9 ของสโมสร และคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ ได้หนึ่งในปี ค.ศ. 2002 ในปีถัดมาสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ ลาลีกา
ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 สโมสรก็ต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้งหลังจากที่กาเปลโลอยู่กับสโมสรเพียงฤดูกาลเดียว ด้วยการเซ็นสัญญากับ แบรนด์ ชูสเตอร์ อดีตผู้เล่นชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 1980 ของสโมสร และสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทนกาเปลโล โดยชูสเตอร์ได้ซื้อผู้เล่นที่มีทั้งประสบการณ์และทักษะที่ดีมากมาย เช่น เปปี, เวสลีย์ สไนเดอร์, อาร์เยิน รอบเบิน, แยร์ซี ดูแด็ก เป็นต้น ชูสเตอร์นำสโมสรไปเล่นใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ไม่ค่อยดีนนักโดยตกรอบสิบหกทีมสุดท้ายด้วยการปราชัยให้แก่โรม่าจากอิตาลี ไป 4-2 แต่กลับทำผลงานในลีกได้อย่างดีด้วยการนำสโมสรไม่แพ้ใครมา 9 นัดติดในช่วงก่อนเก้านัดสุดท้ายก่อนจบฤดูกาลแล้วคว้าแชมป์ลาลีกาสมัยที่ 30 ของสโมสรไปได้
ในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2015 สโมสรได้แต่งตั้งราฟาเอล เบนิเตซ ผู้ที่เคยพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี ค.ศ. 2005 เข้ามาคุมทีม แต่ปรากฏว่าทำผลงานได้ย่ำแย่มาก โดยชนะแค่ 11 จาก 18 นัดในการคุมทีมตลอด 7 เดือน ทำให้เบนิเตซถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2016 และได้แต่งตั้ง ซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งในชณะนั้นคุมทีมสำรองอยู่เข้ามาคุมทีมแทน[43] และสามารถพาทีมบุกไปชนะบาร์เซโลน่า 2-1 ได้ถึงถิ่นกัมนอว์ คว้ารองแชมป์ลาลีกาโดยที่มีคะแนนตามบาร์เซโลน่าเพียงคะแนนเดียว และสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ หลังดวลจุดโทษชนะ แอตเลติโกมาดริด คู่ปรับเก่าในปี ค.ศ. 2014 ไปได้ 5-3 หลังในเวลา 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ในรอบชิงชนะเลิศ
ยุคปัจจุบัน 2017-2018 ภายใต้การคุมทีม ซีเนดีน ซีดาน นำพาทีมราชันชุดขาว คว้าอันดับ 4 ลาลีกา ของสเปน และแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีกส์ และเอาชนะลิเวอร์พลู 3-1 คว้าแชมป์ไปครอง
แต่ ซีเนดีน ซีดาน ก็ซ็อควงการด้วยการประกาศลาออก และแถลงข่าวว่าจะคุมทีมเรอัล มาดริดในฤดูกาลหน้า ทำให้ตำแหน่งนี้ว่างลง ต้องรอดูว่าใครจะมาคุมบังเหียน ราชันชุดขาว ฤดูกาลหน้า
ผู้รักษาประตู : กีโก้ กาซีย่า, เคย์เลอร์ นาบาส
กองหลัง : มาร์เซโล่, ธีโอ เอร์นานเดซ, นาโช่ เฟร์นานเดซ, ราฟาแอล วาราน, เฆซุส บาเยโฆ่, เซร์คิโอ รามอส, อัชราฟ ฮาคิมี่, ดาเนียล การ์บาฆัล
กลองกลาง : มาร์กอส ยอเรนเต้, คาเซมิโร่, มาเตโอ โควาซิช, ดานี่ เซบายอส, โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช, อิสโก้
กองหน้า : มาร์โก อเซนซิโอ, ลูกัส บาสเกซ, แกเร็ธ เบล, บอร์ฆ่า มาโยรัล, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า
ผลงานทีมบาร์เซโลน่า
ลาลีกา
ชนะเลิศ (33): 1931–32, 1932–33, 1953–54, 1954–55, 1956–57, 1957–58, 1960–61, 1961–62, 1962–63, 1963–64, 1964–65, 1966–67, 1967–68, 1968–69, 1971–72, 1974–75, 1975–76, 1977–78, 1978–79, 1979–80, 1985–86, 1986–87, 1987–88, 1988–89, 1989–90, 1994–95, 1996–97, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08 2011-12,2016-2017
รองชนะเลิศ (22): 1929, 1933–34, 1934–35, 1935–36, 1941–42, 1944–45, 1958–59, 1959–60, 1965–66, 1980–81, 1982–83, 1983–84, 1991–92, 1992–93, 1998–99, 2004–05, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2010–11, 2012-13, 2014-15
โกปาเดลเรย์
ชนะเลิศ (19): 1905, 1906, 1907, 1908, 1917, 1934, 1936, 1946, 1947, 1961–62, 1969–70, 1973–74, 1974–75, 1979–80, 1981–82, 1988–89, 1992–93, 2010–11, 2013-14
รองชนะเลิศ(20): 1903, 1916, 1918, 1924, 1929, 1930, 1933, 1940, 1943, 1958, 1959–60, 1960–61, 1968, 1978–79, 1982–83, 1989–90, 1991–92, 2001–02, 2003–04, 2012-13
ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา
ชนะเลิศ(9): 1988, 1989*, 1990, 1993, 1997, 2001, 2003, 2008, 2012
รองชนะเลิศ (5): 1982, 1995, 2007, 2011, 2014
ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา
ชนะเลิศ (1): 1947
โกปาเอบาดัวร์เต
ชนะเลิศ (1): 1985
โกปาเดลาลีกา[52]
ชนะเลิศ (1): 1985
ถ้วยยุโรป / ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ชนะเลิศ (12): 1955–56*, 1956–57, 1957–58, 1958–59, 1959–60, 1965–66, 1997–98, 1999–2000, 2001–02, 2013–14, 2015–16, 2016–17
รองชนะเลิศ (3): 1961–62, 1963–64, 1980–81
ยูโรเปียนวินเนอร์สคัพ
ชนะเลิศ 2): 1984–85, 1985–86
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
รองชนะเลิศ (2): 1970–71, 1982–83
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
ชนะเลิศ (3): 2002, 2014,2016
รองชนะเลิศ (2): 1998, 2000
ถ้วยระดับโลก
ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ (Predecessor to the FIFA Club World Cup)[57]
ชนะเลิศ (5): 1960, 1998, 2002, 2014,2016
รองชนะเลิศ (2): 1966, 2000
ฤดูกาลปัจจุบัน 2017-2018 ภายใต้การคุมทีม ซีเนดีน ซีดาน พาทีมคว้าที่ 4 ในลีกลาลีกา แต่สมารถคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีก
ชื่อทีม | แข่ง | แพ้ / ชนะ /เสมอ | ได้ / เสีย | ผลต่าง | คะแนน |
บาร์เซโลน่า | 37 | 1 / 27 / 9 | 96 / 29 | 67 | 90 |
แอตเลติโก มาดริก | 38 | 5 / 23 / 10 | 58 / 22 | 36 | 79 |
บาเลนเซีย | 38 | 9 / 22 / 7 | 65 / 38 | 27 | 73 |
เรอัล มาดริด | 36 | 6 / 20 / 10 | 84 / 42 | 42 | 70 |
สถิติทีมบาร์เซโลน่า
– คะแนนรวมมากสุด 100 ซีซั่น 2009/10
– ทำประตูได้มากสุด 121 เรอัล มาดริด ทำได้ 107 ประตู ซีซั่น 1989/90
– ชนะมากเกมที่สุด 32 เรอัล มาดริด ในซีซั่น 2009/10
– ชนะขาดลอยบ่อยครั้งสุด 20 เรอัล มาดริด ทำได้ 16 นัด ซีซั่น 1989/90
– ผลต่างประตูได้-เสียเยอะสุด +89 ซีซั่น 2009/10 และ 2010/11
– พลิกกลับมาชนะบ่อยครั้งสุด 9 เรอัล มาดริด ซีซั่น 1996/97 และ 2002/03 ตามลำดับ
– ชนะเกมเยือนมากสุด 16 เกม ซีซั่น 2008/09 และ 2009/10