จบไปแล้วกับฟุตบอลยูโร 2020 ที่อิตาลี คว้าแชมป์ครั้งที่สองในรอบ 53 ปี
กับเกมนัดชิงสุดมันที่ อิตาลี พบกับ อังกฤษ ในนัดชิงครั้งต่างทีมต่างมีความหวังด้วยทั้งคู่ ก่อนเริ่มเกมกูรูและบริษัทรับแทงเกือบทุกสำนักให้เสมอในเวลา และก็เป็นอย่างนั้นจริงเสมอกันไป 1-1 โดยที่อังกฤษนั้นดับเสียงเชียร์แฟนบอลอิตาลีตั้งแต่นาทีที่สอง จากการทำเกมในแดนหลังของลุค ชอร์จ่ายบอลให้ แฮร์รี่ เคนผ่านบอลให้ คีแรน ทริเปียร์ แบ็คซ้ายเปิดข้ามฝากตัดกองหลังเข้ากรอบเขตโทษ เป็นลุค ชอร์ ที่รออยู่ตรงเสาไกลซัดด้วยซ้ายแบบไม่ต้องจับ ตุงตาข่ายแฟนอังกฤษเฮลั่นทั้งสนาม
แต่หลังจากนั้นอิตาลีก็เริ่มกลับเข้าสู่เกมของตัวเองได้และไล่กดดัน ทีมชาติอังกฤษบดจนจบครึ่งแรกก็ทำอะไรไม่ได้ เริ่มครึ่งหลังเหมือนอังกฤษเล่นรับและรอสวนกลับอย่างเดียว อุดอิตาลีซะอยู่หมัดแค่ขุนพลอัซซูรี่ก็ไม่ละความพยายาม จนนาทีที่ 66 อิตาลีได้แตะมุมเปิดเข้ามา ลุกคลุคลิกกันที่หน้าประตูและก็เป็น เลโอนาโด้ โบนุชชี่ ปราการหลังสุดเก๋าเข้ามาซัดระยะไม่ถึง 5 หลา เข้าประตูทำให้ตอนนี้เสียงเชียร์แฟนบอลอิตาลีกระหึ่มทั้งสนาม เวมบลีส์ ช่วงสิบนาทีสุท้ายอังกฤษพยายามเร่งเครื่องแต่ไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้
ต้องไปต่อเวลาแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะรไกันได้จนต้องไปลุ้น จุดโทษเป็นอิตาลีที่ยิงได้แม่นกว่าและนัดนี้ต้องยกความดีให้ จันลุยจิ ดอนมารุมน่า ผู้รักษาประตูวัย 22 ปี ที่ทำไปสามเซฟลูกยิงของสามคนสุดท้าย มาร์คัส แรชฟอร์ด , จาร์ดอน ซานโช่่ , และคนที่ดูจะเป็นฝันร้ายที่สุดคือ บูกาโย ซากา นักแตะที่อายุน้อยที่สุดเพียง 19 ปี ทำให้อิตาลีชนะจุดโทษไป 3-2 บวกกับกับในเวลาที่เสมอกัน 1-1 รวมแล้ว อิตาลี ชนะอังกฤษ 4-3 ในเกมนัดชิงคว้า แชมป์ยูโร2020 ที่สนุกที่สุด
สถิติมีใว้ลบ และสร้างขึ้นใหม่ได้เสมอ
หากจะกล่าวถึงฟุตบอลยูโรในครั้งนี้ต้องบอกว่ามีสถิติใหม่มากมาย และมีเรื่องสนุกรวมถึงเรื่องดราม่าหลายเรื่อง กับแชมป์ในปีนี้ที่เป็น "อิตาลี" ที่ใครต่างก็ซูฮกว่า โรแบร์โต้ มันชินี่ ผู้เข้ามาเปลี่ยน ให้ขุนพลอัซซูนรี่นั้นเล่นกันได้อย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจเป็นที่สุด กับสถิติไร้พ่ายมากที่สุดในชาติยุโรปตอนนี้คือในรายการนี้ไม่แพ้ใครเลย 17 เกมติดแล้ว (รวมรอบคัดเลือก) ลบสถิติที่เบลเยี่ยมทำใว้ 14 เกมเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ที่ทีมทำได้ในหนึ่งรายการด้วย ซึ่งหากรวมตั้งแต่ปี 2018 ก็ทำสถิติไม่แพ้ทีมไหนติดกัน 34 เกมแล้ว
และตอนสถิติไร้พ่ายก็เป็นรองเพียงแค่ 1.บราซิล 35 นัด ปี 1993-1996 | 2.สเปน 35 นัด ปี 2007-2009 | 3.อิตาลี 33 นัด ปี 2018-ปัจจุบัน และฟอร์มตอนนี้ของอิตาลีดูแล้วกับปู้เล่นชุดนี้ยังไปได้อีกไกล ยังมีฟุตบอลโลกรออยู่ ภายใต้การคุฒทีมของ มันชินี่ กุนซื้อที่เข้ามาเปลี่ยนจากอิตาลีที่เล่นรับเหนียวแน่นและก็รอสวนกลับ แต่กลับทีมแบบปรับเปลี่นนการเล่นใหม่เป็น 4-3-3 แถมยังให้วิงแบ็ตซ้ายขวาขึ้นเกมตลอดอีกด้วย ทำให้ขุนพล อัซซูรี่ ได้ชูถ้วยแชมป์ในปีนี้ ท่ามกลางสถารการณ์โควิด 19 ที่กำลังระบาดซึ่ง อิตาลี เป็นหนึ่งในประเทศที่โดนหนักที่สุดเช่นกัน แต่กระนั้นนักแตะและกองเชียร์ไม่เคยหมดกำลังใจ เห็นได้จากทุกนัดที่แข่งกองเชียร์อิตาลีจะส่งเสียงแชียร์นักแข่งของพวกเขาเสมอ
ผลงานของทีมชาติ อิตาลี ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
นี่คือทีมชาติที่ประสบความสำเร็จมากในโลกทีมหนึ่งเลย กับการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกรายการใหญ่ที่สุดถึง 4 สมัยในปี 1934, 1938, 1982 และ 2006 เป็นชาติแรกที่คว้าฟุตบอลโลกติดกันสองครั้งอีกด้วย และกับถ้วยฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2 สมัยในปี 1968, 2020 รวมถึงยังได้เหรียญทองฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1936 หากดูจากผลงานแล้วนี่คือทีมที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทีมชาติอิตาลีทำไมถึงห่างหายแชมป์รายการเมเจอร์ใหญ่ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ที่คว้าแชมป์โลก อาจจะด้วยตอนนั้นนักแตะหลายคนก็ได้วัยที่จะเลิกเล่นทีมชาติแล้ว และเริ่มมีการถ่ายเลือดใหม่แต่ก็ยังไม่ลงตัวเปลี่ยนมาหลายโค้ช จนตอนนี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามาปรับจนลงตัวในทุกตำแหน่งและระบบที่เรียกคนใหม่เข้ามาติดทีมและ เปลี่ยนให้อิตาลีเล่นรุกมากขึ้นจนแฟนๆต่าก็ชื่นชมว่าไม่ได้ดูน่าอึดอัดเหมือนแต่ก่อน แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อจากทีมที่ถูกเรียกว่าจุดต่ำสุด หลังไม่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียได้ อีก 3 ปีผ่านมา “อิตาลี” กลับมาผงาดคว้าแชมป์ยูโร 2020 มาครองได้สำเร็จ!!
อิตาลี แชมป์ยูโร 2020 หอบถ้วยรางวัลกลับถึงบ้านเกิด
แน่นอนว่านี่คือความสำเร็จที่รอคอบมานานกว่า 53 ปี ตั้งแต่ปี 1968 การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ต้องมีที่บ้านเกิดอย่างแน่นอน ล่าสุด โรแบร์โต มันชินี ผู้จัดการทีม และ จอร์โจ คิเอลลินี ปราการหลังกัปตันทีม ได้หอบหิ้ว "อองรี เดอโลเนย์ โทรฟี่" ถ้วยรางวัลชนะเลิศในฐานะทีมแชมป์ยูโร 2020 จากสนามเวมบลีสมาสู่ดินแดนมักโรนี โดยเครื่องบิน ณ กรุงโรม หลังจากที่ถึงที่หมายแล้ว ขุนพล "อัซซูรี" ก็เดินทางกลับเข้าไปที่ Parco dei Principi โรงแรมที่พักประจำทีมในกรุงโรม โดยมีแฟนบอลมารอร่วมเฉลิมฉลองกันเป็นจำนวนมาก
เพราะนี่จะเป็นฉลองแชมป์แรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2006 กองหลังผู้ทำประตูตีเสมออย่าง เลโอนาร์โด โบนุชชี และก็ยังเป็นคนที่สังหารจุดโทษไม่พลาดอีกด้วย ได้ตะโกนใส่กล้องโทรทัศน์ที่มารอทำข่าวว่า "It's coming Rome!" ซึ่งเป็นการดัดแปลงจาก "It's coming home" ท่อนจำจากเพลง Three Lions (Football's Coming Home) ที่เป็นเพลงเชียร์ประจำทีมชาติอังกฤษ และยังกล่าวทิ้งท้ายถึงแฟนบอลใว้ด้วยว่า "พวกคุณยังต้องกินพาสต้ากันอีกเยอะนะ แม้พวกเขาจะอยากนำถ้วยแชมป์กลับสู่อังกฤษ แต่ท้ายที่สุดเราคือผู้ที่นำมันกลับสู่กรุงโรมโดยเครื่องบิน"
และอิตาลีชุดนี้คงจะเป็นตำนานบทใหม่ไปอีกนาน จาดการที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ได้วางรากฐานให้กับฟุตบอลอิตาลีในแนวใหม่ ที่เล่นรุกได้เร้าใจวิงแบ็คขึ้นลงกลางเจาะทะลวง แต่ไม่เคยสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดคือแนวรับและผู้รักษาประตู ที่ไม่ว่าจะเป็นคนไหนขอแค่ติดธงชาตอิตาลีก็บอกยี่ห้อได้เลยว่า มือกาวเหนียวหนึบแน่นอน