นัดชิงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร2020 จะแตะกันในเช้าวันที่ 12 มิถุนายน 2020 เวลา 02:00 น. ตามเวลาไทย ที่สนามเวมบลีย์ ประเทศ อังกฤษ มาเทียบขุมกำลัง สภาพความพร้อมของทีม แผนการเล่น และบทวิเคราะห์เกม มาดูสถิติการพบกันของทั้งสองทีม เคยพบกัน 4 ครั้งในรายการเมเจอร์ใหญ่ของโลก เป็นอิตาลีที่ดูจะทำได้ดีกว่าอังกฤษเสมอทุกนัด นั่นทำให้อังกฤษก็ค่อนข้างที่จะดูด้อยในสายตาของกูรูบาง หรือบริษัทรับแทงพนันถูกกฏหมายในอังกฤษก็เห็นเช่นนั้น
(อังกฤษ แพ้ อิตาลี 0-1 ในรอบแบ่งกลุ่ม ยูโร 1980 | อังกฤษ แพ้ อิตาลี 1-2 ในนัดชิงอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 1990 | อังกฤษ แพ้จุดโทษ อิตาลี ในรอบ 8 ทีมใน ยูโร 2012 | อังกฤษ แพ้ อิตาลี 1-2 ในรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2014) นี่นับเฉพาะรายการเมเจอร์ใหญ่ถ้านับสถิติที่คเยพบกันทั้งหมด 27 ครั้ง อิตาลีชนะ 11 แพ้ 8 เสมอ 8 โดยใน 10 เกมหลังสุดที่พบกันนั้น อังกฤษ เอาชนะอิตาลีได้เพียง 2 เกมเท่านั้นแพ้ 4 เสมอ 3 แต่หากจะดูฟอร์มการเล่นอังกฤษชุดนี้นั้นเต็มไปด้วยผู้เล่น ที่มีทักษะและความเร็วรวมถึงแนวรับที่แข็งแกร่ง การเข้าทำที่หลากหลาย ซึ่งข้อด้วยของอิตาลีก็มีอยู่ในเกมที่พบกับ เบลเยี่ยม และ สเปน ทุกครั้งที่โดนเจาะตามช่องหรือโดนกดดันด้วยบอลต่อบอลสั้นที่แม่นยำ ก็มีเป้ไปเหมือนกันเพียงแต่สเปนและเบลเยี่ยมนั้น เมื่อไปไม่ได้ก็จะคืนหลังซึ่งอังกฤษไม่เป็นปบบนั้นแน่เพราะ ไม่ใช้แค่ ราฮีม สเตอร์ลิง ยังมี คัลวิน ฟิลลิปส์ , ดีคลัน ไรซ์ , เมสัน เมานท์ คอยบุกทะลวงขึ้นมายิงได้ตลอดเวลา แม้จะมีแฮร์รี่ เคนเป็นตัวพักบอลแต่เขาก็ทำได้ดีทั้งยิงทั้งจ่าย
ส่วนอังกฤษก็มีข้อด้วยจะเป็นว่าในยูโรหนนี้อังกฤษกว่าจะ ระเบิกฟอร์มออกมาได้ก็รอบ 16 ทีมที่แนวรุกเล่นได้อย่างดุดัน กองกลางที่กึ่ง 5 ตัวช่วยกันไล่บอลได้ดีและทุกครั้งที่เสียบอลก็เอากลับมาได้ไว แต่เมื่อโดนเกมเพรสซิ่งเมื่อไหร่ก็จะมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกอยู่อาจจะไม่ได้มากแต่ก็เป็น จุดที่ต้องแก้เพราะเป็นจุดที่ทำให้เสียประตูแม้จะเพียงประตูเดียวตลอดทัวร์นาเม้นท์ เพียงแต่ลูกยิงอื่นๆที่มาจากเกมเพรสซิ่งจากฝ่ายตรงข้าม มีกองหลังคอยสกัดและปราการด่านสุดท้าย จอร์แดน พิกฟอร์ด เฝ้าเสาอยู่
เพราะฉะนั้นหากดูด้วยสถิติแล้วอังกฤษสู้อิตาลีไม่ได้แน่ แต่หากดูฟอร์มการเล่นของทั้งสองทีมแล้ว ต้องบอกว่าทั้งสองทีมต่างมีทีเด็ด 90 นาทีคงไม่ใช่คำตอบเอาเป็นว่าถ้า 120 นาทีอังกฤษยังจบเกมไม่ลง ไปจนถึงการเตะจุดโทษแชมป์ในปีนี้คงเป็นของอิตาลีเป็นแน่
ทีมชาติ อังกฤษ เคยสัมผัสแชมป์รายการใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อ คือแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966 ที่อังกฤษเองเป็นเจ้าภาพ และก็มาได้ที่สามกับรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2 ครั้งในฟุตบอลยูโร 1968, ฟุตบอลยูโร 1996 ยังไม่เคยได้เข้าชิงเลยมากว่า 25 ปีแล้วถ้าไม่ตกรอบแรกก็รอบ 16 ทีม นี่จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์โดยการคุมทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ในอดีตเมื่อ 25 ปีที่แล้ว เขาเหมือนเป็นแพะรับบาปของทีมในศึกยูโร 1996 ที่เขายิงจุดโทษพลาดนัดที่แข่งกับทีมเยอรมัน แต่การกลับมาคุมทีมครั้งนี้เขาเปลี่ยนเลือกสิงโตคำรามใหม่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากทั้งแฟนบอลและกูรูต่าง แต่เขาพิสูจน์ให้เห็นการพาอังกฤษที่เสียเพียงแค่ประตูเดียว และได้เข้าถึงรอบชิงนั้นมาถูกทางแล้ว
เช็กขุมกำลังทีมชาติอังกฤษ เฮดโค้ช แกเร็ธ เซาธ์เกต (ผู้รักษประตู จอร์แดน พิกฟอร์ด | กองหลัง ไคล์ วอล์คเกอร์ , แฮรี่ แม็คไกว , จอนห์ สโตนส์ , ลุค ชอว์ | กองกลาง ราฮีม สเตอร์ลิง , คัลวิน ฟิลลิปส์ , ดีคลัน ไรซ์ , เมสัน เมานท์ , บูกาโย ซากา | กองหน้าตัวเป้า แฮร์รี่ เคน)
นี่คือทีมเด็กหนุ่มที่รวดเร็วแข็งแกร่งวิ่งได้ไม่มีหมด ทุกตำแหน่งเป็นตัวแทนกันได้หมดแผน 4-2-3-1 ทำให้อังกฤษชุนี้ลงตัวบุกได้จากทุกทิศทาง ทิ้งแฮร์รี่ เคน ที่สามารถเก็บบอล ทำประตูก็ได้ ดีงรอเพื่อนก็ได้ แผงหลังชุดนี้ก็ถึงว่าแน่นมาก วิงแบ็ตสองฝั่งคอยเติมเป็นระยะ
เส้นทางทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลยูโร 2020 นี้
รอบคัดเลือก อังกฤษ อยู่ในกลุ่ม D ชนะโครเอเชีย 1-0 เสมอสก็อตแลนด 0-0 ชนะสาธารณรัฐเช็ก 0-1 เข้าเป็นที่ 1 ของสายมี 7 แต้มได้สองไม่เสียประตูเลย
รอบ 16 ทีมอังกฤษ เอาชนะทีม เยอรมัน 2-0 | รอบ 8 ทีมเอาชนะ ยูเครน 0-4 | รอบรองชนะเลิศชนะ เดนมาร์ก 2-1
เท่ากับว่าอังกฤษยิงไปแล้ว 10 ตูเสียเพียงประตูเดียวเท่านั้น
ทำให้แฮร์รี่ เคน ยิงไปแล้ว 4 ประตูเป็นดาวซัลโวสูงสุดอันดับ 3 ในรายการนี้รองเพียง คริสเตียน โน่โรนัลโด้ จากโปรตุเกส และ ปาทริค ชิด จากสาธารณรัฐเช็ก
และราฮีม เสอตร์ลิง +3 ประตู | แฮรี่ แม็คไกว +1 ประตู | จอร์แดน แฮนเดอร์สัน +1 ประตู
ทีมชาติ อิตาลี รอคอยกับการคว้าแชมป์สมัยที่สองในรายการนี้มาถึง 52 ปี หลังจากที่พวกเขาเคยได้แชมป์รายการนี้ในปี 1986 และการได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ต้องให้เครดิต โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่มีความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว, กล้าได้กล้าเสีย รวมถึงกล้าเปลี่ยนแนวคิดจากเดิม เปลี่ยนเลือกอิตาลีใหม่ปรับลุคใหม่ไม่เล่นตั้งรับแล้วสวนกลับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้อิตาลีบุกแบบไม่ลืมหูลืมตาโดยใช้ผู้เล่นที่มีทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่สูง และวิงแบ็คก็มีการเติมเกมริมเส้นตลอดเวลาทำให้กองหลังไม่ได้เฝ้าอยู่แต่หน้าปากประตูอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเกมรับที่เหนียวแน่นเหมือนมันอยู่ในสายเลือด ดูได้จากการที่ยิงกันมันระเบิดแต่กลับเสียแค่สามประตู
เช็กขุมกำลังทีมชาติอิตาลี เฮดโค้ช โรแบร์โต้ มันชินี่ (ผู้รักษประตู จันลุยจิ ดอนมารุมน่า | กองหลัง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ , เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ , เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ , โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ | กองกลาง มาร์โก แวร์รัตติ , จอร์จินโญ่ , นิโคโล่ บาเรลล่า | กองหน้า ชิโร่ อิมโมบิเล่ , ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ , เฟเดริโก้ เคียซ่า)
ด้วยขุมกำลังที่มีความสามารถเฉพาะตัวที่สูง เรียกได้ว่าหาจุดอ่อนยากและไร้พ่ายติดกันมา 33 เกมแล้ว อิตาลีจะยังสถิติไร้พ่ายอย่างนี้และคว้าแชมป์ปีนี้ได้ไหม และที่สำคัญคืออิตาลีชุดนี้เล่นเป็นทีมสามารถ สอดแทรกขึ้นมาทำประตูได้ตลอดเวลา
เส้นทางทีมชาติอิตาลีในฟุตบอลยูโร 2020 นี้
รอบคัดเลือก อิตาลี อยู่ในกลุ่ม A ชนะตุรกี 0-3 ชนะสวิตเซอร์แลนด์ 3-0 ชนะเวลส์ 1-0 เข้าเป็นที่ 1 ของสายมี 9 แต้มได้เจ็ดม่เสียประตูเลย
รอบ 16 ทีมอิตาลี เอาชนะทีม ออสเตรีย 2-1 | รอบ 8 ทีมเอาชนะ เบลเยี่ยม 1-2 | รอบรองชนะเลิศชนะ สเปน เสมอในเวลา 1-1 ต่อเวลาถึงยิงจุดโทษชนะไป 4-2
เท่ากับว่าอิตาลียิงไปแล้ว 1ุ6 ตูเสียไป 5 ประตูรวมจุดโทษ
ชิโร่ อิมโมบิเล่ +2 ประตู | ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ +2 ประตู | มัตเตโอ เปสซิน่า +2 ประตู | มานูเอล โรคาเตลรี่ +2 ประตู | เฟเดริโก้ เคียซ่า +2 ประตู